top of page

เสียงที่เติมเต็มร่างกายอันไม่สมบูรณ์แบบของโทมัส ควาสท์ฮอฟฟ์

  • Writer: Jobla Schumann
    Jobla Schumann
  • Dec 17, 2019
  • 1 min read


หากให้คุณลองสมมุติดูว่า ร่างกายคุณไม่เหมือนกับคนทั่วๆ ไป มือไม่อาจยื่นหยิบจับอะไรได้สะดวก ขาสั้นเดินลำบาก ยิ่งถ้าคุณเป็นนักดนตรีที่ต้องใช้ร่างกายทุกส่วนของคุณให้อย่างมีประสิทธิภาพคุณจะทำอย่างไร นี่คือเรื่องที่คงเกิดกับนักร้องคลาสสิคชาวเยอรมันที่มีชื่อว่า โทมัส ควาสท์ฮอฟฟ์ (Thomas Quasthoff คนนี้อย่างแน่นอน)



โทมัส ควาสท์ฮอฟฟ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1959 เขาเกิดมาด้วยความผิดปกติของการตั้งครรภ์จากการที่มารดาของเขาใช้ยา ทาลิโดไมด์ (Thalidomide) ซึ่งมีผลการวิจัยมาในภายหลังว่ามีผลทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์มนุษย์และตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ ส่งผลให้เขาเป็นโรคโฟโคมีเลีย (Phocomelia) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายบางส่วนไม่เจริญเติบโตตามปกติ


แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่เหมือนกับคนทั่วไปแต่ว่าครอบครัวของเขาก็ไม่เคยทำเหมือนกับว่าเขาแตกต่าง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหากผิดถูกก็จะโดนสั่งสอนหรือชื่นชมอย่างเท่าเทียมเหมือนกับพี่น้องของเขา ควาสท์ฮอฟฟ์ร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ อีกทั้งเติบโตมากับเพลงหลากหลายแนว โดยเริ่มขับร้องประสานเสียงทั้งที่โรงเรียนและโบสถ์ ซึ่งทำให้พ่อแม่ของเขาต่างมองเห็นว่าเขานั้นมีความสามารถทางด้านดนตรี ทำให้เมื่อตอนควาสท์ฮอฟฟ์อายุได้สิบสามปี พ่อของเขาก็ได้พาเขาไปพบกับ เซบาสเตียน เพทช์โค (Sebastian Peschko, 1909-1987) นักเปียโนผู้มีชื่อเสียงในขณะนั้นให้ลองฟังเสียงของของเขาดู จากที่ตอนแรกเพทช์โคเมื่อทราบถึงอาการป่วยของควาสท์ฮอฟฟ์ทำให้คิดไปว่าพ่อแม่ของพวกเขาเพียงแค่ต้องการให้ลูกชายของตนมีชื่อเสียง กลับกลายเป็นว่าเพทช์โคนั้นประทับใจในเสียงและความสามารถของควาสท์ฮอฟฟ์มากจึงทำให้เพทช์โคแนะนำเขาให้กับนักร้องเสียงโซปราโนอย่าง ชาล็อตเต้ เลมานน์ (Charlotte Lehmann) ผู้ซึ่งช่วยฝึกสอนร้องเพลงให้กับควาสท์ฮอฟฟ์กว่าสิบเจ็ดปี และแม้ว่าภายหลังเขาจะไม่สามารถเข้าเรียนในคอนเซอวาทัวร์ได้เนื่องจากว่าเขาไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ตามกฏของหลักสูตร แต่ว่าเขาก็ได้เลือกเรียนส่วนตัวและศึกษาบทเพลงด้วยตัวเอง




ด้วยสภาพร่างกายของตัวควาสท์ฮอฟฟ์ที่เป็นทั้งจุดด้อยและจุดเด่นในเวลาเดียวกัน ทำให้มีเพื่อนร่วมงานบางคนเคยอิจฉาริษยาในการแข่งขันร้องเพลง มีบางครั้งที่มีคนมาบอกต่อหน้าเขาเลยว่า 'พวกได้คะแนนพิษสวาทสำหรับผู้พิการ' ควาสท์ฮอฟฟ์นั้นก็เห็นด้วยที่บางครั้งความพิการนี้ของเขาก็เหมือนเป็นตัวช่วยเขาในบางประการแต่เขาก็มีความเห็นว่า ความพิการที่เป็นเหมือนโชคช่วยนี้เกิดขึ้นได้ แต่ว่ามันจะเกิดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากว่าคุณแสดงในสถานที่นึงสักสิบครั้งหรือสามสิบครั้งแล้ว ผู้คนจะไม่มาดูคุณเพียงเพราะว่าคุณนั้นร่างกายพิการ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาอยากที่จะมาฟังคุณต่างหาก


แม้ด้วยเงื่อนไขร่างกายของควาสท์ฮอฟฟ์ที่ทำให้เขาทำได้เพียงแค่ออกแสดงคอนเสริต์หรืองานร้องเพลงออราโทริโอด้วยความคิดที่ว่าเขาไม่สามารถจะแสดงในโรงอุปรากรที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวในการแสดง แต่ว่าก็มีนักวาทยากรชาวอังกฤษนาม ไซม่อน แรทเทิ้ล (Simon Rattle) ผู้ที่ได้ร่วมงานแสดงกับ ควาสท์ฮอฟฟ์ในการแสดงเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ร่วมกันได้กล่าวยืนยันกับเขาว่าเขานั้นสมควรที่จะลองเล่นอุปรากรดู ซึ่งควาสท์ฮออฟฟ์ในตอนแรกไม่สบายใจด้วยว่าเขาไม่อยากให้ร่างกายของตนไปขัดกับการแสดง แต่ว่าแรทเทิ้ลก็ตอบกลับอย่างมั่นใจกับเขาว่า 'ทำไมคุณจะทำไม่ได้ล่ะ' นั่นทำให้ ควาสท์ฮอฟฟ์ฉุกคิดได้ว่า ในเมื่อเพื่อนร่วมงานที่สำคัญของเขาเชื่อใจในความสามารถของเขา แล้วทำไมเขาจะต้องกังวลใจกัน และนั่นก็ทำให้ควาสท์ฮอฟฟ์แสดงอุปรากรร่วมกับแรทเทิ้ลในเวลาต่อมาด้วยกันในบทของ ดอน แฟร์นันโด (Don Fernando) จากอุปรากรเรื่อง ฟิเดลิโอ (Fidelio) อุปรากรเพียงเรื่องเดียวของ ลุดวิก ฟาน เบโธ่เฟ่น (Ludwig van Beethoven, 1770-1827)

*เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีการบันทึกภาพในการแสดงครั้งนั้น - ผู้เขียน



ควาสท์ฮอฟฟ์นั้นเชื่อในพลังของบทเพลงโดยเขาประสบความรู้นี้ด้วยตัวเองอย่างแจ่มชัดเมื่อครั้งที่เขาได้อยู่ในวงวินส์บาคบอยควาย (Windsbach Boys Choir) ที่ทำการร้องเพลงเซนต์แมททิวแพชชั่น (St. Matthew Passion) ซึ่งประพันธ์โดยบาค (Johannes Sebastian Bach, 1685-1750) เป็นครั้งแรกในประเทศอิสราเอลภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง โดยในช่วงที่พักครึ่งของการแสดงได้มีชายคนนึงเดินเข้ามาหาควาสท์ฮอฟฟ์พร้อมกับร้องไห้ ชายคนนี้มีรอยสักเป็นรูปหมายเลขสีฟ้าบนแขนของเขา (ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเคยถูกขังอยู่ในค่ายกักกันของนาซี) เขาเข้ามากอดควาสท์ฮอฟฟ์และพูดใส่เขาเป็นภาษาเยอรมันว่า


"วันนี้ผมได้พูดภาษาเยอรมันเป็นครั้งแรกในรอบห้าสิบกว่าปี ผมสูญเสียคนในครอบครัวของผมไปทั้งหมด ภรรยา ลูกๆ พ่อแม่ ทุกๆ คน วันนี้ผมได้ยินคุณร้องเพลงและตอนนี้ผมรู้แล้วว่าประเทศเยอรมันนั้นเป็นสถานที่ๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว"

สิ่งสำคัญในชีวิตของควาสท์ฮอฟฟ์ก็คือการที่เขาได้ร้องเพลงและใช้ชีวิตร่วมกับมันพร้อมกับคนที่เขารัก และเป็นความโชคดีของเขาที่ครอบครัวไม่เคยมองทำให้เขาแตกต่างจากคนทั่วไป ทำให้เขามองข้ามผ่านความไม่ปกติของเขาและมองความพิเศษที่พาเขาต่อยอดไปสู่อีกจุดนึงได้ อาจมีใครหลายๆ คนที่มองถึงบางสิ่งที่ขาดหายไปเมื่อพบเจอกับควาสท์ฮอฟฟ์เป็นครั้งแรก หากแต่ว่าเมื่อได้รู้จักหรือฟังในเสียงร้องเพลงของเขาแล้วจะพบว่า ดนตรีของเขาคือสิ่งที่ได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของเขาทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าใครทั้งมวล




 

Source:


Comments


© 2023 by Name of Site. Proudly created with Wix.com

  • Facebook Social Icon
  • Twitter Social Icon
  • Instagram Social Icon
bottom of page